แต่หลังจากนั้นล่ะ ต้องสอบสัมภาษณ์อีก สารภาพจากใจว่าตั้งแต่เกิดมานี่ไม่เคยสอบสัมภาษณ์
อ้อ อีกหนึ่งสัปดาห์...
ปั่นพอร์ตจนมือหงิก
ตั้งแต่สมัยยังประถมก็โดนสั่งให้ทำพอร์ตโฟลิโอ/แฟ้มสะสมผลงานมาตลอด ซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร มีประกาศนียบัตรอะไรก็ยัด ๆ ไปเถอะ ใครจะนึกว่าจะถึงจุดที่ต้องใช้พอร์ตอย่างจริงจัง
เราคิดว่าจะทำพอร์ตก็ต้องทำให้มันเด่นจนคนสัมภาษณ์จำได้สิ ! เลยขอไปดูตัวอย่างจากห้องแนะแนวซึ่งในห้องก็มีอยู่แค่สองเล่ม เปิดมาปั๊บ
อื้อหือ
เรียนเราเด่น เล่นเราดี กีฬาเลิศเลยทีเดียว ผลงานเยอะขนาดนี้
(ถ้าจำไม่ผิด พี่คนนั้นจะได้ทุนคิง(?)ปีที่แล้วค่ะ)
ท้อเลย
หันไปถามอาจารย์ว่าเนี่ย พี่เขาเก่งอะ ไปแข่งนู่นนี่นั่นมาผลงานก็เยอะ เป็นเฮดงานไปร่วมกิจกรรมอะไรก็เยอะ เราก็เป็นเด็กกิจกรรมทั่วไป เรียนก็ได้บ้างไม่ได้บ้างจะเอาอะไรไปใส่สู้กับคนอื่น
คำตอบของอาจารย์คือ
"ใส่ไปเถอะ อะไรที่เธอเคยทำมาแล้วใส่ไปเลย ให้เขารู้ว่าเราไปทำอะไรมาบ้างก็พอ ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าของคนอื่นเขาจะงานดีขนาดไหน"
อะไรประมาณนี้ หรือสมองเราเติมคำพูดให้มันดูดีขึ้นมาเองก็ไม่รู้(...) เอาเป็นว่าใส่ให้หมดละกัน
ไปสอบสาขาวาดรูป ทำพอร์ตให้เหมือนสมุดวาดรูปละกัน
งานอันนี้ใส่ลงพอร์ตดีไหมหว่า
เดี๋ยวต้องเอาไปเย็บเล่มอีก
อืม ดูดีละ โอเคแล้วล่ะ เจ๋ง
...
เพิ่งมานึกได้วันท้าย ๆ ว่า สอบสัมภาษณ์ก็ต้องมีตอบคำถามสิ แล้วเตรียมตัวรึยัง..
ไม่เป็นไรหรอกมั้ง คงไม่ได้ถามอะไรน่ากลัวขนาดนั้น ไปตายเอาดาบหน้าที่นั่นเลยนี่ล่ะ
ตัดสินใจพลาดที่สุดในชีวิต
_______________________________________________________
สอบสัมภาษณ์
ตายแน่
สัมภาษณ์ตอนบ่าย ตอนเช้าเลยไปโรงเรียนก่อน เจอเพื่อน ๆ ถามว่าสัมภาษณ์ตอนไหน
ตอนบ่ายน่ะ
สู้ ๆ นะแก
ได้ยินแค่นั้นก็ดีใจแล้วล่ะ แต่ดีใจยิ่งกว่าตอนที่ทุกคนบอกว่าพอร์ตสวย (ฮา)
ถ้ากรรมการว่าแบบนั้นบ้างก็คงดีสินะ
พอพักเที่ยงพ่อก็มารับไปสถานทูตกับเพื่อนที่สอบผ่านเหมือนกัน
พอถึงสถานทูต ขึ้นไปชั้นสอง ก็เจอกับนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาก่อน
บางคนนั่งหน้าเคร่งเครียด ไม่สิ ทุกคนนี่ล่ะที่นั่งอย่างเคร่งเครียด
เพื่อนของเราสัมภาษณ์คนแรก ๆ เลยได้เข้าห้องไปก่อน ส่วนเราต้องรออีกสิบกว่าคน
จริง ๆ ได้สัมภาษณ์ก่อนก็ดีนะ ไม่ต้องมานั่งรอด้วยความอึดอัดแบบนี้..
อ้าว ออกมาแล้วหรอ สัมภาษณ์เป็นไงบ้างอะ
เฮ้ยสบายมากแก กรรมการใจดีทุกคนเว้ย คุยกันแบบชิว ๆ เลย
ดีจัง
หวังว่าของเราจะเหมือนกันนะ
ระหว่างที่นั่งรอก็นั่งคุยกับเพื่อน ๆ ทั้งเพื่อนสายเดียวกันกับเพื่อนที่มาจากคนละสาย
ตื่นเต้นจังนะ ถ้าทุกคนได้ทุนไปด้วยกันก็คงจะดี
ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้หรอก
"เชิญคนต่อไปค่ะ"
สิ้นสุดคำนี้ เหมือนหัวใจมันแทบจะหยุดเต้น
เราเดินเข้าไปในห้องแบบเงอะ ๆ งะ ๆ เพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกันกับพ่อก็บอกให้สู้ ๆ ทำให้เต็มที่นะ
จะพยายามนะ
_______________________________________________________
ยังสั่นอยู่
ถึงจะเห็นหน้านิ่ง ๆ แต่จริง ๆ สั่นอยู่
คุณพี่ที่ดูแลนักเรียนทุนให้เราเข้าไปนั่งในห้องสงบสติอารมณ์(ขอเรียกชื่อนี้) แล้วคิดสิ่งที่จะเข้าไปพูดตอนเข้าห้องสอบตอนแรก
...สั่นขนาดนี้คิดอะไรไม่ออกแล้วค่ะพี่
ในนั้นเขียนไว้ด้วยว่า สามารถตอบเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นก็ได้ อืม เอาไงดีล่ะ จะพูดญี่ปุ่นก็ง่อยอีก อังกฤษลิ้นจะพันกันมั้ยไม่รู้ เออ แย่พอกันเลยนี่หว่า....
ยังเรียบเรียงคำไม่ทันจบพี่ก็มาเปิดประตูแล้วบอกว่า
"เชิญเข้าห้องสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ"
ตายตายตายตายตายตายตายตาย (กรีดร้องในใจอยู่)
เดินเข้าไปปุ๊บ อ๊ะประตูเปิดอยู่ อดเคาะประตูสองทีตามที่ซ้อมไว้เลย(...) โค้งสวัสดีคณะกรรมการในห้อง แล้วนั่งลง
คณะกรรมการคนไทยสามท่านญี่ปุ่นหนึ่งท่านกำลังนั่งประจันหน้ากับเรา คนเดียว
มาถึงก็ยื่นพอร์ตแบบสั่น ๆ ให้กับกรรมการที่อยู่หน้าสุด แล้วเริ่มพูด
ช่วงที่แนะนำตัวเป็นช่วงที่มั่นใจที่สุดแล้วสำหรับเรา เซนเซย์ที่สอนเรามักย้ำให้เราแนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นบ่อย ๆ เวลาพูดจริงมันจะไหลออกมาเอง แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น มีบางช่วงที่เราลืมพูดไป แต่โดยรวมแล้ว เราไม่พูดเอ้ออ้าใส่เขาก็ดีเท่าไหร่แล้ว
แนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นเสร็จ ก็พูดใส่เขาไปว่า
"เอ่อ หลังจากนี้จะพูดเป็นภาษาอังกฤษแทนนะคะ..." (พูดเป็นภาษาอังกฤษ)
ถ้าเราเป็นกรรมการก็คงเงิบพอกัน กล้าพูดไปได้ไงน่ะนั่น...
สัมภาษณ์ก็เป็นไปตามปกติ นึกคำภาษาอังกฤษไม่ออกบ้างก็มั่วบ้าง แต่ก็พยายามสบตากับทุกคน พยายามยิ้ม พยายามเอาพอร์ตใหใ้คนที่ยังไม่ได้ดูดู ลิ้นพันกันตามที่คิดไว้อีกต่างหาก แต่จะขอยกที่เด็ด ๆ มาเขียนตรงนี้
บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ถอดมาจากภาษาอังกฤษ
1.
เอ้อ ตะกี้แนะนำตัวมาว่าอยากเป็นคนวาดภาพประกอบหนังสือ..
(ตอนนั้นโดนเซนเซย์ถามมาว่าทำไมลงศิลปะแต่ตอนแนะนำตัวบอกว่าอยากเป็นครู มันไม่เข้ากัน คือจริง ๆ กะจะใช้ภาพวาด/การ์ตูนเป็นสื่อในการสอนค่ะ)
อ่อ ใช่ค่ะ
แต่ในใบสมัครน่ะ (หยิบใบสมัครเราขึ้นมา) บอกว่าอยากเป็นครูไม่ใช่เหรอ ?
ตายละ
(กรรมการอีกคนหนึ่ง) อ้อ หรือว่าอยากจะวาดภาพประกอบหนังสือเรียนอะไรงี้เหรอ ?
ชะชะชะ ใช่ค่ะ ! ก็ตั้งใจอยู่ว่าอยากเรียนภาษาที่นั่นพร้อมกับเรียนวาดรูปเพื่อเป็นสื่อในการสอนด้วย... (ขอบคุณค่ะคุณกรรมการ)
เกือบตายละไง
2.
กรรมการคนญี่ปุ่นถามอยู่คำถามเดียว
เขียนว่าไปญี่ปุ่นนี่ ไปทำอะไรเหรอ ?
...ค่ะ
3.
ที่บอกว่าชอบวาดรูปแบบการ์ตูนนี่ ไม่สนใจศิลปะแบบอื่นบ้างเหรอ
อ่อ ก็สนใจค่ะ แต่ว่ารู้สึกว่าตัวเองชอบงานแบบการ์ตูนมากกว่า แล้วก็ถนัดมากกว่าด้วย
น่าจะลองดูศิลปะแบบอื่นบ้างนะ แบบพวกศิลปะโบราณญี่ปุ่นอะไรเงี้ย จัดสงจัดสวน..
แล้วคุณกรรมการอีกคนก็หลุดภาษาไทยกับกรรมการอีกท่าน
จัดดอกไม้ไรงี้เนอะ
เออใช่ ๆ
แล้วกรรมการก็สัมภาษณ์เราต่อ ด้วยภาษาอังกฤษ...
ค่ะ
4.
นี่ไม่ลองเรียนศิลปะด้านอื่นจริง ๆ เหรอ ศิลปะญี่ปุ่นโบราณก็สวยนะ
ไม่ล่ะค่ะ หนูก็ว่ามันน่าสนใจ อยากจะลองดูเหมือนกัน แต่ว่า..
แล้วเราก็หลุดคำนั้นออกไป
"หนูคงไม่มีความปราณีตขนาดที่จะไปทำงานประเภทนั้นหรอกค่ะ"
..งั้นเหรอ
ค่ะ ฮะฮะฮะ...
...
.....
ดิฉันคิดว่า การจะเรียนศิลปะไม่ว่างานไหน ๆ ก็ตาม คุณก็ควรมีความปราณีตนะคะ
.....
ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่มีความปราณีตละเอียดอ่อนขนาดนั้น แล้วจะเรียนศิลปะได้เหรอ
.......
ก็คงต้องปรับปรุงตัวค่ะ
หนูรู้ว่าศิลปะเป็นอะไรที่ต้องใส่ใจ ซึ่งหนูก็พยายามแก้ตัวเองตรงนั้นอยู่ และก็คิดว่า ถ้าได้มีโอกาสไปเรียนที่ญี่ปุ่นจริง ๆ หนูก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นด้วย
...
.........
โอเค หมดคำถามสัมภาษณ์แล้วค่ะ
อะไรนะ
เราพลาดไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหม
ในใจก็คิดแบบนั้นแต่หน้าก็ยังพยายามยิ้มอยู่ ขอบคุณกรรมการ แล้วเดินออกจากห้องไปหยิบของที่ฝากไว้หน้าห้อง
แต่พอออกจากห้องเท่านั้นแหละ
เข่าแทบจะทรุดลงไป น้ำตาเราไหลพรากเลย ในใจตอนนั้นคือรู้สึกแย่มากถึงมากที่สุด รู้สึกทำอะไรที่ผิดพลาดมาก เป็นจุดเล็ก ๆ ที่เราไม่ใส่ใจ ถ้าจะพลาดโอกาสเพราะความไม่ใส่ใจของเราแบบนี้ เราคงโกรธตัวเองไปอีกนาน
เพื่อน ๆ ที่เห็นก็ตกใจ แล้วก็คอยปลอบว่า ไม่เป็นไรนะ พ่อเราก็ปลอบ เราร้องไห้ตั้งแต่เดินออกจากห้องจนถึงขึ้นรถก็ยังไม่หยุดร้อง จนพ่อเราต้องถามว่า หยุดร้องซะทีได้รึยัง ร้องแล้วมันช่วยอะไรรึเปล่า พ่อรู้ว่าเสียใจ แต่ถึงตอนนี้เราก็ทำอะไรมันไม่ได้แล้ว
เรารู้สึกแย่กว่าเดิมที่หยุดร้องไห้ไม่ได้ เรื่องแค่นี้ก็ร้อง เราเลยร้องหนักกว่าเดิมจนถึงบ้าน
หมดหวังจริง ๆ นั่นแหละ
_______________________________________________________
สามวันหลังจากสอบสัมภาษณ์ก็บ่นอุบกับเพื่อนว่าไม่ผ่านหรอก ดันไปตอบซะขนาดนั้น
และตอนสี่โมงวันนั้น เพื่อนก็บอกว่าผลสอบออกแล้วนะ
อืม จริง ๆ ก็อยากเห็นชื่ออยู่ในนั้นนะ แต่ก็..
แล้วเราก็แยกกับเพื่อนไปหาเพื่อนอีกคน ซักพัก โทรศััพท์เพื่อนก็ดัง
ฮัลโหล
เออ ผลสอบออกแล้วใช่ปะ เป็นไงบ้าง
...หรอ
...
อืม ๆ ให้เราบอกนาวมั้ย..
อือ โอเค แค่นี้นะ
เสียงเศร้าซะขนาดนี้ ไม่ผ่านชัวร์
หรือแกล้งเศร้าวะ จริง ๆ อาจจะผ่าน
ไม่ร้อก
นาว..
หือ
ผ่านแล้วนะ
แทบจะกระโดดโลดเต้นวิ่งรอบสนามฟุตบอล
(โทรบอกพ่อกับแม่ พ่อแม่รอให้พูดจบก่อนแล้วค่อยบอกว่า อืม จริง ๆ นั่งส่องเว็บอยู่ล่ะ รู้แล้ว)
(ค่ะ)
หลังจากนั้นพวกเราก็ไปสถานทูตกันเพื่อส่งใบสมัครที่เขียนใหม่แล้ว คุณคนที่ดูแลทุนบอกว่า ปีนี้ส่งชื่อไปเยอะเป็นพิเศษ และก็หวังว่าจะได้กันทุกคน
..แต่ถ้าไม่ได้ ก็แปลว่าคนอีกครึ่งหนึ่งจะโดนตัดชื่อออกเหมือนกัน
_______________________________________________________
December 2013
รอมาสามเดือนแล้วนะ
เมื่อไหร่ผลสอบจะออก..
คนที่ดูแลทุนบอกพวกเราไว้ว่า ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจะส่งจดหมายมาบอกว่าได้แล้วในช่วงเดือนธันวา-มกรา ซึ่งแปลว่าเราทำอะไรไม่ได้ไปอีกสี่เดือน แรก ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร พอเวลาผ่านไปซักพักชักกังวลกว่าเดิมอีก นั่งหากระทู้คนที่สอบทุนเหมือนพวกเราในเว็บก็เจอคนจากหลายประเทศกำลังตกในสถานการณ์เดียวกับเราเช่นกัน บางคนได้จดหมายตั้งแต่ปลายพฤศจิกา บางคนได้ตอนต้นธันวา
แล้วเราล่ะ
โอย แค่นี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจอ่านแกทแพทแล้ว....... (แล้วมันก็เลื่อน)
จนกระทั่งวันหนึ่ง
13/12/2013
ตอนนั้นเรากำลังนั่งเชียร์งานตอ.ตท.อยู่ที่อัฒจันทร์กับเพื่อน ๆ
จู่ ๆ เพื่อนต่างสายคนหนึ่งที่ไปสอบด้วยกันก็โทรมา
เฮ้ยนาว จดหมายมันส่งมาถึงบ้านแล้วนะ
ห้ะ
จดหมายประกาศผลสอบทุนอะ
ละ แล้วแกได้มั้ยอะ
ได้แล้ว ๆ ผ่านแล้ว แม่เราบอกว่าในใบมันเขียนว่าได้รับทุนแล้ว
อ้าก อยากจะเหาะกลับบ้านซะตอนนี้เลย
ทำไมทุนมันจะต้องมีอะไรให้ลุ้นตลอดเวลาแบบนี้เนี่ย หัวใจวายตายขึ้นมาทำไง
รีบโทรไปหาแม่ เออแม่สอนอยู่ โทรไปหาพ่อ พ่อทำงานอยู่บริษัท แต่เดี๋ยวบึ่งรถกลับบ้านให้
แล้วเราก็รอ
รอ
และรอ
ท่ามกลางเสียงเชียร์อันโหมกระหน่ำบนอัฒจันทร์นั้นเอง
Incoming Call : พ่อ
" ยินดีด้วยนะลูก
ผ่านแล้ว
จะให้พ่ออ่านในจดหมายให้ฟังมั้ย ? "
" I am pleased to inform you that you have been successful in the final selection of candidates for the Japanese Government Scholarship 2014
under the Specialized Training College Students Program."
....
ขอบคุณค่ะ
สำเร็จแล้วนะ