Sunday, November 30, 2014 0 comments

แปดเดือน


สวัสดีค่ะ
มาอยู่ที่ญี่ปุ่นได้แปดเดือนแล้วนะ




..และก็ไม่ได้อัพอะไรลงบล็อกเลยซักนิด ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะเขียนเรื่องชีวิตการเรียนในญี่ปุ่น
ตอนได้ทุนแล้วแท้ ๆ โถ่ (ฮา)
หลังจากนี้จะพยายามอัพให้เยอะขึ้นแล้วค่ะ ขอโทษจริง ๆ m(_ _)m


อย่างที่บอกเมื่อข้างต้น อยู่ที่นี่มาแปดเดือนแล้วค่ะ
แถมใกล้จะครบปีตั้งแต่รู้ผลทุนด้วย เมื่อวันก่อนก็เพิ่งประกาศผลทุนสำหรับปีนี้ไป
ยินดีด้วยกับทุกคนด้วยนะคะ ใครที่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ ทำเต็มที่ต่อไปนะ

กลับมาเรื่องญี่ปุ่น
ถามว่าแปดเดือนนี่ฟังดูนานมั้ย ? นานเนอะ แต่เวลามันผ่านไปเร็วกว่าที่คิดเยอะ
ผ่านช่วงเวลาที่ซากุระบานสะพรั่ง ฝนตกกระหน่ำ แดดร้อนจนแทบระเหย จนตอนนี้.. 
สิบกว่าองศาแล้วค่ะ บ้าจริง นี่ใส่เสื้อสามชั้นแล้วยังรู้สึกหนาวจะตาย

พอมาอยู่ที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลย
ตั้งแต่การใช้ชีวิต จากที่ไม่เคยจับกระทะทำอาหารเอง เก่งสุดก็แค่ไข่ดาว
ก็เริ่มซื้อมีดซื้อหม้อ เลือกเนื้อเลือกผักเอง จนทำกับข้าวที่พอกินได้
ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นคนที่ชอบทำอาหาร(แต่ไม่ชอบล้าง)ไปแล้ว ฮา
ห้องในหอพักที่อยู่ตอนนี้ก็กลายเป็นที่ ๆ รู้สึกว่าเป็นบ้านไปแล้ว
คือรู้สึกชินกับมันไปแล้ว ต้องทำความสะอาดเอง เอาขยะไปทิ้ง ไม่รับผิดชอบก็ห้องเน่า
ถึงหลัง ๆ จะเริ่มขี้เกียจอีกแล้วก็เถอะ(...)

แล้วก็ อยู่ไปนาน ๆ ก็ชักชอบความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นนะ
เขาตรงเวลา เขามีระเบียบ
แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเข้มงวดทุกคน บางคนก็มีมุมใจดีของเขา
 ตอนนี้ที่กำลังเรียนโรงเรียนภาษา อาจารย์เขาก็ดูแลค่อนข้างดี
แต่คือคุณก็ต้องมีระเบียบนะ คุณต้องตรงต่อเวลานะ อะไรประมาณนั้นแหละ


ไหน ๆ ก็พูดถึงโรงเรียนละ พูดถึงสิ่งที่เรียนอยู่ตอนนี้ดีกว่า
เนื่องจากการมาเรียนปีแรก ทักษะด้านภาษาญี่ปุ่นของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
มีทั้งคนที่ไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนเลย จนถึงคนที่เรียนมาจนระดับเทพแล้ว
คนที่ไม่เคยเรียนมาก่อนไม่ต้องห่วงนะ ที่นี่เขาอัดให้อย่างเต็มที่
คือได้ไม่ได้ไม่รู้ล่ะ แต่อย่างน้อยจบปีน่าจะได้เกือบ ๆ ซัก N2 ประมาณนี้
* N2 = ระดับของข้อสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น มีตั้งแต่ N1-N5 ซึ่งสูงสุดคือ N1 ค่ะ
ซึ่งสอบวัดระดับที่ว่า เราก็จะสอบอาทิตย์หน้าแล้วล่ะค่ะ เย้... (ข้ามไปเถอะ)

แน่นอนว่าเป็นโรงเรียนสอนภาษา เลยมีนักเรียนต่างชาติเต็มไปหมดค่ะ
และโรงเรียนที่เรากำลังเรียนอยู่ เขารับนักเรียนทุนเซมมงทุกประเทศที่มาอยู่ในโตเกียว
โอกาสที่จะได้เพื่อนต่างชาติก็อยู่ที่นี่นี่ล่ะ ที่เราคุยด้วยก็มีอินโดนีเชีย อาร์เจนตินา บราซิล ฯลฯ
บางทีก็คุยเรื่องประเทศตัวเองกันบ้าง อย่างวันก่อนเพื่อนบราซิลเพิ่งบอกว่าตัวเองดูซีรีส์ไทยด้วย แปลกใจเล็กน้อยเลยลองถามดู

เรา : ห้ะ ของไทยเนี่ยนะ เรื่องไรล่ะนั่น 
เพื่อน : เรื่องไรหว่า.. อ่อใช่ ๆ ที่ชื่อฮอร์โมนส์น่ะ
..ไปเจอได้ยังไงล่ะเนี่ย (นางบอกสนุกมาก ดูไปดูมาถึงตอน 10 ซะละ)

แถมมีเพื่อนอีกหลายคนที่บอกว่า อาหารไทยอร่อยมากเลย ข้าวผัดของไทยก็อร่อย
นี่ชอบกินแกงกะหรี่ของไทยมาก(แกงเขียวหวานที่นี่เขาก็เรียกแกงกะหรี่เขียวนะคะคุณ)
พอได้ฟังละก็ปลื้มใจแปลก ๆ และรู้สึกอยากกินด้วย เพราะที่นี่อาหารไทยแพงเหลือเกิน(..)
พอได้คุยแบบนี้ก็แปลกดี เหมือนได้เห็นประเทศตัวเองจากมุมมองอื่น
เป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียวล่ะ


พูดถึงอย่างอื่นบ้าง
อยู่เป็นเด็กแลกเปลี่ยน ใช่ว่าจะได้แต่เรียนนะ
บางทีเรากับเพื่อน ๆ ก็ไปเที่ยวกันบ้าง หาอะไรสนุก ๆ ทำกันบ้าง
(กรุณาดูรูปข้างบนประกอบ) (คือไปหลายที่มาก ไม่สามารถเอารูปมาให้หมด) (...)
ก็นะ อุตส่าห์ได้มาอยู่ที่นี่ทั้งที ก็ต้องออกไปหลาย ๆ ที่บ้างแหละ
อีกอย่าง รุ่นพี่เหมือนจะเกริ่น ๆ ไว้ด้วยว่า ปีแรกดูจะว่างที่สุดละ อยากทำอะไรรีบทำ
ถึงจะเสียดายเงินเก็บบ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้มนะ
ถ้ามีโอกาส(และเงินเก็บ)อีก อยากจะลองเที่ยวญี่ปุ่นเองซักครั้งเหมือนกัน
แต่ตอนนี้สงสัยต้องเรียนภาษาให้รอดก่อน.. ;-; นะ

_________________________________________________


ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าจะเล่าอะไรเพิ่มเติมดี
เอาเป็นว่า หลังสอบจะพยายามหาเรื่องมาเขียนลงบล็อกดูนะคะ
ช่วงนี้ที่นี่ก็เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่ที่ไทยได้ยินมาว่ายังร้อนอยู่
ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ขอจบลงเพียงเท่านี้

สวัสดีค่ะ (-v-)/

Tuesday, June 3, 2014 5 comments

รู้ไว้ใช่ว่าก่อนก้าวขาไปสอบทุนมง ! (3. จากวันนั้นจนถึงวันนี้)

March 2013

มีอยู่วันหนึ่ง ในขณะที่เรากำลังนอนดูทีวีอยู่ก็มีเพื่อนทักมาในแชทเฟซ
ตื่อดึ๊ง
เฮ้ย ข้อนี้ตอบไรอะ
พร้อมส่งรูปโจทย์คำถามภาษาญี่ปุ่นมาให้หนึ่งข้อ

...ตอบข้อสามไง
เออใช่ปะ เราก็ว่าข้อนั้น แต่เฉลยมันบอกข้อหนึ่งอะ
? ไม่น่านะ ก็มันต้องเป็นแบบนี้นี้นี้ไม่ใช่อ่อ ดูผิดข้อเปล่า
ก็ไม่นะ 
ทำไมมันแปลก ๆ นี่ไปเอามาจากไหนเนี่ย
เว็บข้อสอบเก่าทุนรัฐบาลญี่ปุ่นอะ

ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ? พูดไปแล้วก็เคยอยากสอบตั้งแต่ก่อนเข้าเตรียมฯได้ซะอีกนี่นา
แต่พอเข้ามาได้ก็รู้สึกว่าพวกที่ได้ทุนมันมีแต่พวกเทพ ๆ ทั้งนั้นเลยก็เลยล้มเลิกไป
โถ่ถัง

นี่จะสมัครทุนรัฐบาลญี่ปุ่นกับเขาด้วยเรอะ
อือ ว่าจะสมัครสอบดูอะ
อ่อ ขอให้ได้นะ
เออใช่ เราไปดูในเว็บข้อสอบเก่าแล้วนะ
แกเปิดเฉลยข้อสอบผิดชุดอะ
.....
อ่อ

แล้วเรื่องทุนก็จบลงประมาณนั้น นอกนั้นก็คุยเรื่องสอบทั่วไป
จบบทสนทนาเสร็จก็ลองมานั่งคิดคนเดียว
" เออ ลองสอบทุนดูมั่งดีมั้ยวะ ? ไม่ใช่ว่าจะเสียค่าสอบซักหน่อย ได้ก็เจ๋งไม่ได้ก็ปลง 
ไปเก็บประสบการณ์ด้วย ถึงไม่ได้ เวลาไปสอบที่อื่นจะได้ตื่นเต้นกับข้อสอบน้อยลงด้วย"

ใครจะรู้ ว่าการตัดสินใจครั้งนั้นจะเปลี่ยนชีวิตเราไปขนาดไหน

_______________________________________________________

June 2013

เมื่อใบสมัครออก ความกังวลก็เริ่มเกิด
มีสอบเลขด้วย
จะเลือกคณะอะไรดี มีให้เลือกตั้งสองสามคณะ
สอบดีไหมเนี่ยยยยยยย

สุดท้ายก็สมัคร
วันนั้นไปยื่นใบสมัครทุนป.ตรีพร้อมกับเพื่อนอีกสามสี่คน ปรากฏว่า...
คนจะเยอะไปไหนวะ !!
เพราะไปกันวันท้าย ๆ ด้วยคนก็เลยเยอะเป็นพิเศษ ก็เลยหยิบบัตรคิวแล้วก็รอกันค่อนชั่วโมง
อ้อใช่ ได้เจอพี่ ๆ ที่สมัครสอบทุนนศ.วิจัยด้วยล่ะ

ตอนนั้นยื่น 3 อันดับไปเป็น Pedagogy (ครุศาสตร์), Japanese Language(ภาษาญี่ปุ่น), Sociology(สังคมศาสตร์) เพราะอยากเรียนครู อยากเป็นครูสอนภาษา อีกสองอันดับก็... น่า เลือกไปก่อนละกัน

หันซ้ายไปเจอเด็กเตรียมฯห้องคิง หันขวาไปเจอเด็กกิฟต์ มองข้างหลังก็เจอเด็กมหิดลฯ
...เอาวะ ตายเป็นตาย ตายอยู่แล้วแหละแต่ก็ลองสอบดู เผื่อจะได้อะไรดี ๆ กลับมาบ้าง

หลังจากนั้นไม่นาน ในเว็บสถานทูตญี่ปุ่นก็มีใบสมัครมาเพิ่ม

"ทุนสาขาวิชาชีพ"

วิชาชีพ ? พออ่านคำนี้แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ที่ญี่ปุ่นก็มีวิทยาลัยวิชาชีพที่สอนวิชาเฉพาะ ๆ 
และหลากหลายมากกว่าที่ไทย (เช่นทำอาหาร วาดรูป ดนตรี หรือสังคมสงเคราะห์)
จริง ๆ แล้วไปเรียนวาดการ์ตูนก็ดีนะ คือชอบวาดรูป ถ้าได้เรียนอะไรที่ตัวเองชอบก็คงดี 
แต่แล้ว ความกังวลก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

เรียนแค่วาดการ์ตูนแล้วต่อไปจะทำอะไร
ได้เรียนป.ตรีช้ากว่าคนอื่นตั้งสามปีเลยนะ
จะไหวเหรอ ?

แต่ถึงคิดไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร เอาให้ติดก่อนแล้วค่อยคิดเถอะ
ว่าแล้วก็ปริ้นท์ใบสมัคร

_______________________________________________________

(Still) June 2013

ตื่นแต่เช้าเพื่อบุกจุฬาฯ ไปสอบข้อเขียนทุนป.ตรี !
ถามว่าพร้อมมั้ย ไม่ !! (อ้าว..)
สรุปปีนั้นมีคนมาสอบทุนป.ตรีแปดร้อยกว่าคนได้ แค่เห็นตัวเลขจำนวนคนก็ซีดแล้ว
เรานัดเจอกับเพื่อนสายเดียวกันมานั่งด้วยกัน หลาย ๆ คนดูเตรียมตัวมาพร้อมมาก สู้ ๆ นะเพื่อน เราขอเป็นกำลังใจให้นะ
เดี๋ยวนะ รู้สึกเราก็สอบเหมือนกัน

เข้าห้องสอบด้วยความมั่นใจ
ออกจากห้องสอบนี่แทบจะเข่าทรุด

ทำเลขไม่ได้....

_______________________________________________________

July 2013

ไม่ติด
...โอเค้ จริง ๆ ก็ทำใจมานานแล้วแหละ จะเป็นสามสิบกว่าคนในแปดร้อยกว่าคนนั่นก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ

หลังจากประกาศผลปุ๊บก็มีสอบกลางภาคต่อพอดี (อาห์ ข้อสอบทำร้ายฉัน) ก็เลย
ไม่ได้คิดอะไรมาก ปลงแล้ว
อะไรนะ ? อ้อใช่ สอบทุนวิชาชีพ.... เวรละ ลงสมัครไว้แต่มัวแต่ปลงเลยไม่ได้เตรียมอะไรเลย
เลยเอาความรู้เก่าติดตัว(?)จากตอนสอบป.ตรีกับนั่งทำข้อสอบเก่าไป ถึงไม่พร้อมก็ต้องพร้อม สอบครั้งสุดท้ายละ

ถ้าโชคชะตาจะให้ไปต่อก็คงได้ไปต่อแหละ 

_______________________________________________________

(End of) July 2013

สอบไปสามวัน ประกาศผลแล้ว
ตอนที่เพิ่งวิ่งเก็บรอบเสร็จ เพื่อนที่ไปสอบด้วยกันก็บอกว่า เฮ้ย ประกาศแล้วนะแก
คือจริง ๆ ก็แอบหวังเล็ก ๆ เพราะโอกาสสูงขึ้น คนสอบน้อยลง ข้อสอบก็ทำได้มากขึ้น
..มั้ง

เปิดเว็บสถานทูตดู คลิกเข้าไปที่รายชื่อประกาศผลสอบ
เฮ้ยนาว มีชื่อนาวด้วย
หะ จริงดิ
เอ๊ะเดี๋ยว เปิดรายชื่อผิดอันรึเปล่าเนี่ย
....พูดงั้นหมายความว่าไงวะแก

ผ่านรอบข้อเขียนค่ะ จากแปดสิบกว่าคนเหลือสิบกว่าคน เอ้าเฮ
แต่หลังจากนั้นล่ะ ต้องสอบสัมภาษณ์อีก สารภาพจากใจว่าตั้งแต่เกิดมานี่ไม่เคยสอบสัมภาษณ์
สอบสัมภาษณ์สมัครนักเรียนแลกเปลี่ยนอะไรไม่เค้ยไม่เคย แล้วจะรอดมั้ยเนี่ย
แล้วสอบสัมภาษณ์นี่วันไหนนะ
อ้อ อีกหนึ่งสัปดาห์...
เดี๋ยวนะ

_______________________________________________________

August 2013

ปั่นพอร์ตจนมือหงิก
ตั้งแต่สมัยยังประถมก็โดนสั่งให้ทำพอร์ตโฟลิโอ/แฟ้มสะสมผลงานมาตลอด ซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร มีประกาศนียบัตรอะไรก็ยัด ๆ ไปเถอะ ใครจะนึกว่าจะถึงจุดที่ต้องใช้พอร์ตอย่างจริงจัง
เราคิดว่าจะทำพอร์ตก็ต้องทำให้มันเด่นจนคนสัมภาษณ์จำได้สิ ! เลยขอไปดูตัวอย่างจากห้องแนะแนวซึ่งในห้องก็มีอยู่แค่สองเล่ม เปิดมาปั๊บ
อื้อหือ
เรียนเราเด่น เล่นเราดี กีฬาเลิศเลยทีเดียว ผลงานเยอะขนาดนี้
(ถ้าจำไม่ผิด พี่คนนั้นจะได้ทุนคิง(?)ปีที่แล้วค่ะ)
ท้อเลย

หันไปถามอาจารย์ว่าเนี่ย พี่เขาเก่งอะ ไปแข่งนู่นนี่นั่นมาผลงานก็เยอะ เป็นเฮดงานไปร่วมกิจกรรมอะไรก็เยอะ เราก็เป็นเด็กกิจกรรมทั่วไป เรียนก็ได้บ้างไม่ได้บ้างจะเอาอะไรไปใส่สู้กับคนอื่น

คำตอบของอาจารย์คือ
"ใส่ไปเถอะ อะไรที่เธอเคยทำมาแล้วใส่ไปเลย ให้เขารู้ว่าเราไปทำอะไรมาบ้างก็พอ ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าของคนอื่นเขาจะงานดีขนาดไหน"
อะไรประมาณนี้ หรือสมองเราเติมคำพูดให้มันดูดีขึ้นมาเองก็ไม่รู้(...) เอาเป็นว่าใส่ให้หมดละกัน

ไปสอบสาขาวาดรูป ทำพอร์ตให้เหมือนสมุดวาดรูปละกัน
งานอันนี้ใส่ลงพอร์ตดีไหมหว่า
เดี๋ยวต้องเอาไปเย็บเล่มอีก
อืม ดูดีละ โอเคแล้วล่ะ เจ๋ง
...

เพิ่งมานึกได้วันท้าย ๆ ว่า สอบสัมภาษณ์ก็ต้องมีตอบคำถามสิ แล้วเตรียมตัวรึยัง..
ไม่เป็นไรหรอกมั้ง คงไม่ได้ถามอะไรน่ากลัวขนาดนั้น ไปตายเอาดาบหน้าที่นั่นเลยนี่ล่ะ

ตัดสินใจพลาดที่สุดในชีวิต

_______________________________________________________

(Still) August 2013

สอบสัมภาษณ์
ตายแน่

สัมภาษณ์ตอนบ่าย ตอนเช้าเลยไปโรงเรียนก่อน เจอเพื่อน ๆ ถามว่าสัมภาษณ์ตอนไหน
ตอนบ่ายน่ะ
สู้ ๆ นะแก
ได้ยินแค่นั้นก็ดีใจแล้วล่ะ แต่ดีใจยิ่งกว่าตอนที่ทุกคนบอกว่าพอร์ตสวย (ฮา)
ถ้ากรรมการว่าแบบนั้นบ้างก็คงดีสินะ

พอพักเที่ยงพ่อก็มารับไปสถานทูตกับเพื่อนที่สอบผ่านเหมือนกัน
พอถึงสถานทูต ขึ้นไปชั้นสอง ก็เจอกับนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาก่อน
บางคนนั่งหน้าเคร่งเครียด ไม่สิ ทุกคนนี่ล่ะที่นั่งอย่างเคร่งเครียด
เพื่อนของเราสัมภาษณ์คนแรก ๆ เลยได้เข้าห้องไปก่อน ส่วนเราต้องรออีกสิบกว่าคน
จริง ๆ ได้สัมภาษณ์ก่อนก็ดีนะ ไม่ต้องมานั่งรอด้วยความอึดอัดแบบนี้..

อ้าว ออกมาแล้วหรอ สัมภาษณ์เป็นไงบ้างอะ
เฮ้ยสบายมากแก กรรมการใจดีทุกคนเว้ย คุยกันแบบชิว ๆ เลย
ดีจัง
หวังว่าของเราจะเหมือนกันนะ

ระหว่างที่นั่งรอก็นั่งคุยกับเพื่อน ๆ ทั้งเพื่อนสายเดียวกันกับเพื่อนที่มาจากคนละสาย
ตื่นเต้นจังนะ ถ้าทุกคนได้ทุนไปด้วยกันก็คงจะดี
ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้หรอก

"เชิญคนต่อไปค่ะ"
สิ้นสุดคำนี้ เหมือนหัวใจมันแทบจะหยุดเต้น
เราเดินเข้าไปในห้องแบบเงอะ ๆ งะ ๆ เพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกันกับพ่อก็บอกให้สู้ ๆ ทำให้เต็มที่นะ
จะพยายามนะ

_______________________________________________________


สอบสัมภาษณ์

ยังสั่นอยู่
ถึงจะเห็นหน้านิ่ง ๆ แต่จริง ๆ สั่นอยู่
คุณพี่ที่ดูแลนักเรียนทุนให้เราเข้าไปนั่งในห้องสงบสติอารมณ์(ขอเรียกชื่อนี้) แล้วคิดสิ่งที่จะเข้าไปพูดตอนเข้าห้องสอบตอนแรก
...สั่นขนาดนี้คิดอะไรไม่ออกแล้วค่ะพี่
ในนั้นเขียนไว้ด้วยว่า สามารถตอบเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นก็ได้ อืม เอาไงดีล่ะ จะพูดญี่ปุ่นก็ง่อยอีก อังกฤษลิ้นจะพันกันมั้ยไม่รู้ เออ แย่พอกันเลยนี่หว่า....
ยังเรียบเรียงคำไม่ทันจบพี่ก็มาเปิดประตูแล้วบอกว่า 

"เชิญเข้าห้องสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ"
ตายตายตายตายตายตายตายตาย (กรีดร้องในใจอยู่)

เดินเข้าไปปุ๊บ อ๊ะประตูเปิดอยู่ อดเคาะประตูสองทีตามที่ซ้อมไว้เลย(...) โค้งสวัสดีคณะกรรมการในห้อง แล้วนั่งลง

คณะกรรมการคนไทยสามท่านญี่ปุ่นหนึ่งท่านกำลังนั่งประจันหน้ากับเรา คนเดียว
มาถึงก็ยื่นพอร์ตแบบสั่น ๆ ให้กับกรรมการที่อยู่หน้าสุด แล้วเริ่มพูด
ช่วงที่แนะนำตัวเป็นช่วงที่มั่นใจที่สุดแล้วสำหรับเรา เซนเซย์ที่สอนเรามักย้ำให้เราแนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นบ่อย ๆ เวลาพูดจริงมันจะไหลออกมาเอง แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น มีบางช่วงที่เราลืมพูดไป แต่โดยรวมแล้ว เราไม่พูดเอ้ออ้าใส่เขาก็ดีเท่าไหร่แล้ว
แนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นเสร็จ ก็พูดใส่เขาไปว่า
"เอ่อ หลังจากนี้จะพูดเป็นภาษาอังกฤษแทนนะคะ..." (พูดเป็นภาษาอังกฤษ)
ถ้าเราเป็นกรรมการก็คงเงิบพอกัน กล้าพูดไปได้ไงน่ะนั่น...

สัมภาษณ์ก็เป็นไปตามปกติ นึกคำภาษาอังกฤษไม่ออกบ้างก็มั่วบ้าง แต่ก็พยายามสบตากับทุกคน พยายามยิ้ม พยายามเอาพอร์ตใหใ้คนที่ยังไม่ได้ดูดู ลิ้นพันกันตามที่คิดไว้อีกต่างหาก แต่จะขอยกที่เด็ด ๆ มาเขียนตรงนี้

บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ถอดมาจากภาษาอังกฤษ

1.
เอ้อ ตะกี้แนะนำตัวมาว่าอยากเป็นคนวาดภาพประกอบหนังสือ.. 
(ตอนนั้นโดนเซนเซย์ถามมาว่าทำไมลงศิลปะแต่ตอนแนะนำตัวบอกว่าอยากเป็นครู มันไม่เข้ากัน คือจริง ๆ กะจะใช้ภาพวาด/การ์ตูนเป็นสื่อในการสอนค่ะ)
อ่อ ใช่ค่ะ
แต่ในใบสมัครน่ะ (หยิบใบสมัครเราขึ้นมา) บอกว่าอยากเป็นครูไม่ใช่เหรอ ?
ตายละ
(กรรมการอีกคนหนึ่ง) อ้อ หรือว่าอยากจะวาดภาพประกอบหนังสือเรียนอะไรงี้เหรอ ?
ชะชะชะ ใช่ค่ะ ! ก็ตั้งใจอยู่ว่าอยากเรียนภาษาที่นั่นพร้อมกับเรียนวาดรูปเพื่อเป็นสื่อในการสอนด้วย... (ขอบคุณค่ะคุณกรรมการ)
เกือบตายละไง

2.
กรรมการคนญี่ปุ่นถามอยู่คำถามเดียว
เขียนว่าไปญี่ปุ่นนี่ ไปทำอะไรเหรอ ?
...ค่ะ

3.
ที่บอกว่าชอบวาดรูปแบบการ์ตูนนี่ ไม่สนใจศิลปะแบบอื่นบ้างเหรอ
อ่อ ก็สนใจค่ะ แต่ว่ารู้สึกว่าตัวเองชอบงานแบบการ์ตูนมากกว่า แล้วก็ถนัดมากกว่าด้วย
น่าจะลองดูศิลปะแบบอื่นบ้างนะ แบบพวกศิลปะโบราณญี่ปุ่นอะไรเงี้ย จัดสงจัดสวน..

แล้วคุณกรรมการอีกคนก็หลุดภาษาไทยกับกรรมการอีกท่าน
จัดดอกไม้ไรงี้เนอะ
เออใช่ ๆ

แล้วกรรมการก็สัมภาษณ์เราต่อ ด้วยภาษาอังกฤษ...
ค่ะ

4.
นี่ไม่ลองเรียนศิลปะด้านอื่นจริง ๆ เหรอ ศิลปะญี่ปุ่นโบราณก็สวยนะ
ไม่ล่ะค่ะ หนูก็ว่ามันน่าสนใจ อยากจะลองดูเหมือนกัน แต่ว่า..

แล้วเราก็หลุดคำนั้นออกไป

"หนูคงไม่มีความปราณีตขนาดที่จะไปทำงานประเภทนั้นหรอกค่ะ"

..งั้นเหรอ
ค่ะ ฮะฮะฮะ...
...
.....
ดิฉันคิดว่า การจะเรียนศิลปะไม่ว่างานไหน ๆ ก็ตาม คุณก็ควรมีความปราณีตนะคะ
.....
ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่มีความปราณีตละเอียดอ่อนขนาดนั้น แล้วจะเรียนศิลปะได้เหรอ
....... 
ก็คงต้องปรับปรุงตัวค่ะ 
หนูรู้ว่าศิลปะเป็นอะไรที่ต้องใส่ใจ ซึ่งหนูก็พยายามแก้ตัวเองตรงนั้นอยู่ และก็คิดว่า ถ้าได้มีโอกาสไปเรียนที่ญี่ปุ่นจริง ๆ หนูก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นด้วย
...
.........
โอเค หมดคำถามสัมภาษณ์แล้วค่ะ

อะไรนะ
เราพลาดไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหม

ในใจก็คิดแบบนั้นแต่หน้าก็ยังพยายามยิ้มอยู่ ขอบคุณกรรมการ แล้วเดินออกจากห้องไปหยิบของที่ฝากไว้หน้าห้อง

แต่พอออกจากห้องเท่านั้นแหละ
เข่าแทบจะทรุดลงไป น้ำตาเราไหลพรากเลย ในใจตอนนั้นคือรู้สึกแย่มากถึงมากที่สุด รู้สึกทำอะไรที่ผิดพลาดมาก เป็นจุดเล็ก ๆ ที่เราไม่ใส่ใจ ถ้าจะพลาดโอกาสเพราะความไม่ใส่ใจของเราแบบนี้ เราคงโกรธตัวเองไปอีกนาน

เพื่อน ๆ ที่เห็นก็ตกใจ แล้วก็คอยปลอบว่า ไม่เป็นไรนะ พ่อเราก็ปลอบ เราร้องไห้ตั้งแต่เดินออกจากห้องจนถึงขึ้นรถก็ยังไม่หยุดร้อง จนพ่อเราต้องถามว่า หยุดร้องซะทีได้รึยัง ร้องแล้วมันช่วยอะไรรึเปล่า พ่อรู้ว่าเสียใจ แต่ถึงตอนนี้เราก็ทำอะไรมันไม่ได้แล้ว
เรารู้สึกแย่กว่าเดิมที่หยุดร้องไห้ไม่ได้ เรื่องแค่นี้ก็ร้อง เราเลยร้องหนักกว่าเดิมจนถึงบ้าน

หมดหวังจริง ๆ นั่นแหละ



_______________________________________________________

(Still) August 2013

สามวันหลังจากสอบสัมภาษณ์ก็บ่นอุบกับเพื่อนว่าไม่ผ่านหรอก ดันไปตอบซะขนาดนั้น
และตอนสี่โมงวันนั้น เพื่อนก็บอกว่าผลสอบออกแล้วนะ

อืม จริง ๆ ก็อยากเห็นชื่ออยู่ในนั้นนะ แต่ก็..

แล้วเราก็แยกกับเพื่อนไปหาเพื่อนอีกคน ซักพัก โทรศััพท์เพื่อนก็ดัง

ฮัลโหล
เออ ผลสอบออกแล้วใช่ปะ เป็นไงบ้าง
...หรอ
...
อืม ๆ ให้เราบอกนาวมั้ย..
อือ โอเค แค่นี้นะ

เสียงเศร้าซะขนาดนี้ ไม่ผ่านชัวร์
หรือแกล้งเศร้าวะ จริง ๆ อาจจะผ่าน
ไม่ร้อก

นาว..
หือ

ผ่านแล้วนะ


แทบจะกระโดดโลดเต้นวิ่งรอบสนามฟุตบอล
(โทรบอกพ่อกับแม่ พ่อแม่รอให้พูดจบก่อนแล้วค่อยบอกว่า อืม จริง ๆ นั่งส่องเว็บอยู่ล่ะ รู้แล้ว)
(ค่ะ)

หลังจากนั้นพวกเราก็ไปสถานทูตกันเพื่อส่งใบสมัครที่เขียนใหม่แล้ว คุณคนที่ดูแลทุนบอกว่า ปีนี้ส่งชื่อไปเยอะเป็นพิเศษ และก็หวังว่าจะได้กันทุกคน

..แต่ถ้าไม่ได้ ก็แปลว่าคนอีกครึ่งหนึ่งจะโดนตัดชื่อออกเหมือนกัน

_______________________________________________________

December 2013

รอมาสามเดือนแล้วนะ
เมื่อไหร่ผลสอบจะออก..

คนที่ดูแลทุนบอกพวกเราไว้ว่า ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจะส่งจดหมายมาบอกว่าได้แล้วในช่วงเดือนธันวา-มกรา ซึ่งแปลว่าเราทำอะไรไม่ได้ไปอีกสี่เดือน แรก ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร พอเวลาผ่านไปซักพักชักกังวลกว่าเดิมอีก นั่งหากระทู้คนที่สอบทุนเหมือนพวกเราในเว็บก็เจอคนจากหลายประเทศกำลังตกในสถานการณ์เดียวกับเราเช่นกัน บางคนได้จดหมายตั้งแต่ปลายพฤศจิกา บางคนได้ตอนต้นธันวา

แล้วเราล่ะ
โอย แค่นี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจอ่านแกทแพทแล้ว....... (แล้วมันก็เลื่อน)

จนกระทั่งวันหนึ่ง

13/12/2013

ตอนนั้นเรากำลังนั่งเชียร์งานตอ.ตท.อยู่ที่อัฒจันทร์กับเพื่อน ๆ
จู่ ๆ เพื่อนต่างสายคนหนึ่งที่ไปสอบด้วยกันก็โทรมา

เฮ้ยนาว จดหมายมันส่งมาถึงบ้านแล้วนะ
ห้ะ
จดหมายประกาศผลสอบทุนอะ
ละ แล้วแกได้มั้ยอะ
ได้แล้ว ๆ ผ่านแล้ว แม่เราบอกว่าในใบมันเขียนว่าได้รับทุนแล้ว

อ้าก อยากจะเหาะกลับบ้านซะตอนนี้เลย
ทำไมทุนมันจะต้องมีอะไรให้ลุ้นตลอดเวลาแบบนี้เนี่ย หัวใจวายตายขึ้นมาทำไง

รีบโทรไปหาแม่ เออแม่สอนอยู่ โทรไปหาพ่อ พ่อทำงานอยู่บริษัท แต่เดี๋ยวบึ่งรถกลับบ้านให้

แล้วเราก็รอ
รอ
และรอ
ท่ามกลางเสียงเชียร์อันโหมกระหน่ำบนอัฒจันทร์นั้นเอง

Incoming Call : พ่อ

" ยินดีด้วยนะลูก
ผ่านแล้ว
จะให้พ่ออ่านในจดหมายให้ฟังมั้ย ? "


" I am pleased to inform you that you have been successful in the final selection of candidates for the Japanese Government Scholarship 2014 

under the Specialized Training College Students Program."

....

ขอบคุณค่ะ
สำเร็จแล้วนะ


Thursday, March 6, 2014 0 comments

รู้ไว้ใช่ว่าก่อนก้าวขาไปสอบทุนมง ! (2. สมัคร สอบ สัมภาษณ์)



ชื่อเอนทรี่นี้เรียกง่าย ๆ ว่า สสส. นะคะ /ตรึ่งแช่

สวัสดีค่ะ กลับมาอีกครั้งกับ


..นะคะ ヾ(@°▽°@)ノ

จากเอนทรี่ที่แล้วเราก็เขียนเล่าเรื่องโดยรวมของทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไปแล้ว
สำหรับวันนี้ก็จะมาเล่าเรื่องของการสมัคร สอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์กันล่ะ !

แต่ก่อนจะพูดถึงทีละขั้นตอน มาดูลำดับเวลากันดีกว่าค่ะ

งงมั้ย ? ไม่งงกันหรอกเนอะ /สั่น
(อาจมีการเปลี่ยนแปลงนะคะ อันนี้อิงจากทุนปี 2014)

จะเห็นได้ว่า
- ช่วงสมัครสอบจะเป็นช่วงเดียวกันนะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้น สามารถสมัครทุนป.ตรีพร้อมกับทุนวิชาชีพ / วิทยาลัยเทคโนฯได้นะคะเพราะสอบคนละวันกัน แต่ลงสอบวิชาชีพพร้อมกับเทคโนฯไม่ได้นะ !!
- ทุนป.ตรีสอบข้อเขียนเร็วมาก สมัครต้นมิถุนายนสอบปลายมิถุนายน ส่วนวิชาชีพ/วิทยาลัยเทคโนฯสอบหลังจากนั้นราว ๆ เดือนนึงแน่ะ เพราะฉะนั้นใครที่กำลังตัดสินใจจะสอบรีบตัดสินใจและรีบเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ ดีกว่านะคะ โดยเฉพาะป.ตรี TvT 
- ในทางกลับกัน วันประกาศผลข้อเขียนกับวันสอบสัมภาษณ์ของป.ตรีทิ้งช่วงค่อนข้างนาน(เกือบ ๆ เดือนนึง)ในขณะที่ทุนวิชาชีพ/วิทยาลัยเทคโนฯ ... หกวันค่ะ ปั่นพอร์ตกันมือหงิกเลยทีเดียวนี่พูดเลย /ซีด
- สามสาขานี้ประกาศผลสัมภาษณ์วันเดียวกันค่ะ ของป.ตรีคือสองวันหลังจากนั้น ส่วนอีกสองสาขาก็สัมภาษณ์ปุ๊บวันถัดมาประกาศเลยค่ะ คือดี
- แต่หลังจากนั้นก็อย่าเพิ่งโล่งใจนะคะ เห็นคำว่า ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการส่งชื่อจากสถานทูตญี่ปุ่น ไหมคะ ?

มันแปลว่าเรายังต้องรอผลการตัดสินใจจากรัฐบาลญี่ปุ่นอีกสี่เดือนไงคะ คะ คะ ...
(เดี๋ยว อย่าเพิ่งกดปิดบล็อกสิ)
จนถึงตอนนั้นก็คือต้องใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ กันต่อไปค่ะ ปีนี้ประกาศผลช่วงกลาง ๆ เดือนธันวาคมทางจดหมาย (ปกติผลข้อเขียนและสัมภาษณ์จะประกาศผลทางเว็บไซต์)


และนั่นล่ะค่ะคือลำดับขั้นตอนแบบคร่าว ๆ ของทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
ต่อไปจะพูดถึงแต่ละขั้นตอนละนะ !

_______________________________________________________

1. สมัครสอบ
ก่อนจะสอบ เราก็ต้องสมัครสอบก่อนสิ
สำหรับใบสมัคร สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของสถานทูตญี่ปุ่น(สำหรับทุนปริญญาตรี)และเว็บไซต์ของสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการชื่อยาวจังวุ้ย(สำหรับทุนวิชาชีพ/วิทยาลัยเทคโนฯ) โดยจะมีให้ดาวน์โหลดในช่วงรับสมัคร(พฤษภา-มิถุนา)ค่ะ

นอกจากใบสมัคร(เรียกใบอาจจะไม่ถูก เรียกปึกสิดี มีตั้งสี่ห้าหน้า...)เอกสารที่ต้องเตรียมไปมีดังนี้
1. รูปถ่าย(4.5*3.5 ซม.) 3 ใบ เขียนชื่อไว้หลังรูปกันรูปหลุดหายด้วยค่ะ
2. ผลการเรียน หรือ Transcript ตัวจริง 1 ชุด ระบุผลการเรียน 5 เทอม ฉบับภาษาอังกฤษ (GPA รวม ต้องได้เกินเกณฑ์ที่กำหนดนะคะ)
3. ใบรับรองความเป็นนักเรียน ตัวจริง 1 ใบ ฉบับภาษาอังกฤษ ต้องระบุด้วยว่าจะจบการศึกษาในเดือนมีนาของปีหน้า (ระบุเป็นวันได้ก็จะดี) เวลาขอเอกสารต้องชี้แจงและเน้นย้ำต่อห้องทะเบียนมาก ๆ นะคะ
4. ใบ Certificate ของผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) สำเนา 1 ใบ (ถ้ามี)

สำหรับวิธีการกรอกใบสมัครสอบ สามารถดูบล็อกนี้เป็นแนวทางได้เลยค่ะ เขียนไว้ค่อนข้างละเอียด ตอนเราสมัครก็อิงจากของพี่เขาล่ะ :D
ที่สำคัญ ๆ ก็คือ 
- ถ้าเป็นไปได้ เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด ลายมือเรียบร้อยจะดีมากค่ะจะได้อ่านได้ง่าย
- อย่าลืมวงช่องที่ระบุว่าส่งที่จังหวัดไหนนะคะ (มุมขวาบน)
- ช่องที่ให้เขียนเหตุผลยาว ๆ : ร่างจากกระดาษข้างนอกดูก่อนนะคะ อย่ารีบ ค่อย ๆ เกลาไป อย่าเขียนตามที่คิดลงใบสมัครทันทีเพราะเกิดไม่ถูกใจหรืออะไรขึ้นมา นั่นคือหายนะ... orz ควรมีรอยแก้ให้น้อยที่สุดนะคะ

แบบร่างของเรา(ฉบับป.ตรี)เองล่ะ
ร่างแบบงง ๆ ของจริงออกมาก็งง ๆ ตาม(ฮา)

สำหรับการไปส่งใบสมัครก็แล้วแต่สาขานั้น ๆ ระบุไว้เลยค่ะ
แนะนำสำหรับคนที่ไปส่งใบสมัครทุนป.ตรี ไปตั้งแต่วันแรก ๆ น่าจะดีกว่านะคะ เพราะคนเยอะมาก มากถึงกับมีรับบัตรคิวเลยทีเดียว นั่งเหี่ยว ๆ อยู่นานกว่าจะได้ส่งใบสมัคร ที่ต้องรอเพราะเขาจะมีตรวจความเรียบร้อยของเอกสารด้วยค่ะ ระหว่างรอเราก็ตรวจดูและจัดเรียงเอกสารให้เรียบร้อยซะ

อ้อ ตรงนั้นจริง ๆ แล้วจะมีตัวอย่างการเขียนใบสมัครให้ด้วยล่ะ เพื่อความมั่นใจไปเทียบกับตรงนั้นอีกทีก็ได้นะ

เมื่อส่งเอกสารการสมัครสอบแล้ว ก็เสร็จเรียบร้อยไปขั้นตอนนึงแล้วล่ะ ! 

_______________________________________________________

2. สอบข้อเขียน

หลังจากนั้นทางเว็บไซต์จะมีประกาศสถานที่สอบ
ต่อจากนี้จะเป็นสนามใหญ่แล้วล่ะค่ะ
แนะนำให้ไปถึงสนามสอบ 1 ชม. ก่อนเวลาสอบนะคะ ไม่รู้ว่ารถจะติดรึเปล่า ไปก่อนก็มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจหน้าห้องสอบ สำรวจพื้นที่ หาห้องน้ำ ทบทวน ฯลฯ มีเวลาเหลือดีกว่ารีบ ๆ มาแล้วเหนื่อยทำข้อสอบไม่รู้เรื่องนะคะถถถ


สำหรับวิชาที่ใช้สอบ ได้บอกในเอนทรี่ที่แล้วนะคะสำหรับแต่ละสาขา

วิชาที่ใช้สอบข้อเขียน
สาขาปริญญาตรี :
สายวิทย์ - อังกฤษ เลข เคมี ฟิสิกส์/ชีวะ(แล้วแต่สาขาที่เลือกสอบ)
สายศิลป์ - อังกฤษ เลข

วิทยาลัยเทคโนฯ : อังกฤษ เลข ฟิสิกส์/ชีวะ
วิชาชีพ : อังกฤษ เลข

(สามารถเลือกสอบภาษาญี่ปุ่นได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งไม่มีผลต่อคะแนนสอบข้อเขียน)

สำหรับการสอบข้อเขียน สาขาปริญญาตรีจะยากกว่าวิทยาลัยเทคโนฯกับวิชาชีพค่ะ (ความเห็นเด็กสายศิลป์เช่นเรา : โดยเฉพาะเลขค่ะ คือมันแบบฟฟฟฟฟหกด่าสว)
ทางที่ดีที่สุดนะคะ ควรเตรียมตัวโดยการทำข้อสอบเก่าเยอะ ๆ ค่ะ ข้อสอบมักจะออกแนวเดียวกันหรือใกล้เคียง ซึ่งข้อสอบเก่านั้นก็ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหน สามารถเข้าไปดาวน์โหลดข้อสอบเก่าได้ ที่นี่ ค่ะ
สะดวกดีเนอะ :^D

edit : รู้สึกเหมือนควรเขียนเพิ่มเติมอีกนิด อันนี้ความรู้สึกเรานะ
ข้อสอบภาษาอังกฤษ เราว่าเน้นเรื่องการอ่านและความเข้าใจ เพราะงั้นศัพท์ก็สำคัญนิดนึง แต่ศัพท์ไม่ยากมาก ข้อสอบประมาณ CU-TEP (?) แต่ลองทำข้อสอบเก่าล่ะชัวร์สุดละ
ข้อสอบเลขนี่แบบ อัลไลลลลล คือมันเป็นเรื่องที่เราไม่ได้เรียนเลยแอบช่วยไม่ได้ orz แนะนำให้เปิดข้อสอบเก่าแล้วจดสูตรที่ใช้ในโจทย์ข้อสอบเก่า เพราะส่วนใหญ่ก็ออกคล้าย ๆ กัน
(อ้อ ข้อสอบเลขเป็นเติมคำ ส่วนอังกฤษเป็นเลือกช้อยส์นะ)

ส่วนข้อสอบญี่ปุ่น(คือเราเลือกสอบมา) จะแบ่งเป็นสามพาร์ทค่ะ พาร์ทแรกประมาณ N5-ต่ำกว่า N4คือไม่ยากนะ ส่วนพาร์ทสองนี่ N3 ละ พาร์ทสามนี่ไม่ต้องพูดถึงค่ะ ราว ๆ N2-N1 ได้มั้ง เอื้อห์
ถามว่าทำได้เท่าไหร่ พาร์ทแรกกับพาร์ทสองนิด ๆ ค่ะ ตอนนั้นคือเดี้ยง

_______________________________________________________


3. สอบสัมภาษณ์

มาถึงขั้นตอนหลัก ๆ ขั้นสุดท้ายแล้วค่ะ ' สอบสัมภาษณ์ '
สำหรับคนที่ผ่านการสอบข้อเขียนมาได้นี่ก็ถือว่าเจ๋ง ๆ มากแล้วล่ะค่ะ เอ้าสู้ต่อไป

คือจริง ๆ แล้วเราก็ไม่รู้จะแนะนำเรื่องการสอบสัมภาษณ์ยังไง(ป่อย) เอาเป็นหลัก ๆ ละกันนะคะ

พอร์ตตอนสัมภาษณ์สาขาวิชาชีพค่ะ
มีคนแนะนำว่าทำแบบเป็นตัวของตัวเอง ก็จัดไปค่ะ(...)

- ลองตั้งคำถามถามตัวเองซ้ำ ๆ จากประวัติส่วนตัวและสิ่งที่ตัวเองเขียนลงใบสมัครค่ะ แล้วเวลาตอบให้ตอบโดยพูดออกมา จะช่วยให้หายประหม่าบ้างแหละ
- ฝึกแนะนำตัว เป็นภาษาอังกฤษ (และภาษาญี่ปุ่นถ้าพูดได้) พูดบ่อย ๆ ค่ะพูดบ่อย ๆ จะได้จำได้เป็นแพทเทิร์นเลย ถึงมันจะดูไร้สาระไปนิดแต่การแนะนำตัวก็สร้างความประทับใจแรกได้ดีนะ !
- นั่งด้วยบุคลิกภาพที่ดี หลังตรง สบตาผู้สัมภาษณ์เป็นระยะ ๆ (ผู้สัมภาษณ์มีหลายคน) เวลาพูดอาจจะใช้ภาษากาย (ใช้มือประกอบ) บ้าง แต่ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องกว้าง
- ถ้าจะให้ดี ลองหาคนมาช่วยฝึกจะดีมากเลยค่ะ ให้เขาลองนั่งประจันหน้ากับเราแล้วฝึกพูด แล้วค่อยให้เขาชี้ว่าเราต้องแก้ตรงไหนบ้าง บางทีมุมมองจากคนอื่นก็ช่วยได้มากเลย

อืม ไม่รู้จะแนะนำอะไรจริง ๆ นะแหละ 555555 แต่รวม ๆ ก็ประมาณนี้ล่ะ

หลังจากผ่านสัมภาษณ์แล้วทำยังไง ? หลังจากนั้นเราจะได้เขียนใบสมัครรอบใหม่เพื่อส่งไปยังรัฐบาลญี่ปุ่นค่ะ (แต่ไม่ใช่ว่ารอบแรกเราจะเขียนมั่ว ๆ แล้วถ้าผ่านค่อยรอแก้ทีหลังนะ เพราะบางครั้งคนสัมภาษณ์ก็ถามจากข้อมูลในใบสมัครเรานี่ล่ะ) หลังจากนั้นก็รอ รอ และรอค่ะ เป็นขั้นตอนที่ยากสุดละเอาจริง TvT

_______________________________________________________


ขั้นตอนโดยรวมก็มีประมาณนี้ล่ะนะ
ครั้งหน้า(คิดว่า)จะเล่าเรื่องประสบการณ์การไปสอบของตัวเองนี่ล่ะ
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะดีเลิศนะคะ ค่อนข้างออกไปทางกากถถถถถถ
ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านจนถึงตอนนี้ และหวังว่าจะช่วยในการเตรียมตัวในการสอบไม่มากก็น้อยนะคะ

สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ
(●´∀`●)


Wednesday, March 5, 2014 0 comments

06032014


รู้วันบิน(แบบไม่เป็นทางการ)แล้วล่ะ

หนึ่งเมษา

เร็วจังเลยเนอะ

ว้าก
รู้สึกยังไม่พร้อมในหลาย ๆ อย่าง ฮา
กระเป๋าก็ยังไม่ได้เริ่มจัด เฟรนด์ชิพที่เพื่อนให้มาก็ยังไม่ได้เริ่มเขียน
แย่จุง

เผลอ ๆ ก็อีกไม่ถึงเดือนแน่ะ ยังนึกถึงช่วงที่รอผลทุนออกอยู่เลย ทำไมสี่เดือนมันนานนักนะ
พอถึงเวลาจริง ๆ ละเวลาผ่านไปเร้วเร็ว

เอาล่ะ ตอนนี้ก็คงต้องพูดว่า
' 1 เดือนในไทยมันสั้นนะน้อง '
อะไรอย่างงี้รึเปล่านะ(ฮา)

ใกล้ได้เวลาเริ่มต้นใหม่แล้วล่ะ

กัมบาเระนาวซัง


Sunday, March 2, 2014 0 comments

รู้ไว้ใช่ว่าก่อนก้าวขาไปสอบทุนมง ! (1. รู้จักกันก่อนนะ)


สวัสดีค่ะ
วันนี้ก็จะมาพูดถึงทุน ๆ หนึ่งที่ทุกคนน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันนะคะ


ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น นั่นเองงงง (◡‿◡✿) 


ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ?
ใช่ค่ะ ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (Japanese Government (MEXT) Scholarship) สั้น ๆ ว่าทุนมง 
ก็ตามชื่อนะแหละ คือทุนการศึกษาที่ทางรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่นได้จัดสรร
ห้นักเรียนจากหลากหลายประเทศได้เข้ามาศึกษาต่อในญี่ปุ่นในสาขาต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็น ระดับปริญญาตรี วิชาชีพ วิทยาลัยเทคโนโลยี อบรมวิชาชีพครู
หรือไปศึกษาพื่อทำงานวิจัยก็ยังได้

แล้วทุนนี้มันดียังไง ?
อย่าให้พูดค่ะ ก็เยอะอยู่ถถถถถ
อย่างแรกเลย คือแน่ล่ะ เราจะได้ไปเรียนต่อในประเทศญี่ปุ่น
และการไปเรียนที่นั่นเนี่ย ก็เหมือนเป็นไฟลท์บังคับให้เราต้อง
เรียนภาษาญี่ปุ่นจนพูดอ่านเขียนได้ไปในตัว (อ่านไม่ได้คุณก็เรียนไม่รู้เรื่อง เอาสิ)
ซึ่ง ทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็ใจดี๊ใจดี ให้เราเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อน 6 เดือนหรือ1 ปี
(เฉพาะสาขานศ.วิจัย ป.ตรี วิชาชีพ และวิทยาลัยเทคโนโลยีเท่านั้นนะ ระยะเวลาแล้วแต่สาขาเลย)
เพราะฉะนั้น มั่นใจได้เลยว่าถ้าได้ทุนนี้ไปแล้ว นอกจากความรู้ที่จะได้กลับมา
คุณจะได้ภาษาที่สามติดไม้ติดมือกลับมาด้วย ! ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวค่ะ ฮ่าาา

อย่างที่สองที่หลาย ๆ คนน่าจะสนใจ ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นทุนให้เปล่าค่ะ 
ให้เปล่า ? ไม่ให้-- ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ
หมายถึง เมื่อคุณได้รับทุนแล้วไปศึกษาจนจบแล้ว คุณไม่ต้องกลับมาใช้ทุน
(เช่น ทำงานให้บริษัท/องค์กรใด ๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง)ที่ประเทศไหนอีกเลยนั่นเอง
ดีใช่ไหมคะ ? ได้ทุนฟรีแล้วยังไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ อีก ถือว่าเป็นทุนที่ค่อนข้างคุ้มค่าทีเดียว

อย่างสุดท้ายที่จะพูดถึง อาจจะฟังดูเว่อร์ไปนิด แต่การได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ
ไม่ว่าที่ใดก็ตามก็เหมือนเป็นการไปเปิดโลกของตัวเองให้กว้างขึ้นเลยล่ะ โดยเฉพาะ
ประเทศญี่ปุ่น ที่ตามความเห็นของเราเราคิดว่าเป็นประเทศที่พัฒนาไปไกลมาก ๆ 
และวัฒนธรรมที่นั่นก็แปลกไปจากเราหลายอย่าง นอกจากนี้เรายังจะได้ไปเจอกับ
นักเรียนทุนจากประเทศอื่น ๆ ด้วยอาจจะมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน ทำให้เราได้
เห็นแง่มุมหลาย ๆ อย่างที่อาจจะไม่เคยเห็น
ไม่แน่ว่ากลับมาเราอาจจะได้ความคิดดี ๆ กลับมาพัฒนาประเทศด้วยก็ได้นะ :-D

_______________________________________________________

เอาล่ะ ร่ายมาก็เยอะแล้ว
ต่อจากนี้จะขออธิบายถึงทุนรัฐบาลญี่ปุ่นในแต่ละสาขากันเลยนะคะ
ขอพูดถึงแค่ทุนที่นักเรียนม.ปลายสามารถสมัครได้นะคะ รู้รายละเอียดเด่น ๆ เฉพาะแค่นี้ ;-; ขอโทษจริง ๆ ค่ะ
รายละเอียดอื่น ๆ สามารถเข้าไปดูได้ ที่นี่ เลยค่ะ
(อนึ่ง ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีการจำกัดจำนวนคน จำนวนดังกล่าวอิงจากจำนวนผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในปี 2014 )

1. ทุนระดับนักศึกษาปริญญาตรี (ปีนี้ได้ 19 คน สายวิทย์ 15 คน และสายศิลป์ 4 คน)
ทุนนี้เป็นทุนสำหรับนักเรียนม.ปลายที่ต้องการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย
ในประเทศญี่ปุ่นระดับชั้นปริญญาตรีค่ะ มีสองสาขาหลัก ๆ คือสายวิทย์กับสายศิลป์
ทุนนี้ถือว่าโหดมาก 55555 เพราะแต่ละปีมีคนสมัครถึง 700-800 คนเลยทีเดียว !
แล้วรับกี่คนคะ ไม่ถึง 20 คน... /ซีด 
(เห็นบางเว็บบอกส่วนใหญ่เด็กเตรียมฯกับมหิดลฯที่โหด ๆ จะได้ไป ซึ่งก็จริง(...) แต่ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก จริงมั้ยยย)

เกรดขั้นต่ำที่กำหนด 5 เทอม : 3.80
(สำหรับคนที่สอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นจะสามารถลดเกรดได้ค่ะ โดย N3-N4 = 3.50 / N1-N2 = 3.30)

วิชาที่ใช้สอบข้อเขียน :
สายวิทย์ - อังกฤษ เลข เคมี ฟิสิกส์/ชีวะ(แล้วแต่สาขาที่เลือกสอบ)
สายศิลป์ - อังกฤษ เลข
(ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปสามารถเลือกสอบภาษาญี่ปุ่นได้ด้วยนะ แต่ไม่มีผลกับคะแนน 
ใครอยากทรมานตัวเองเล่นก็ไปสอบดูค่ะ ฮ่าาา)

นักเรียนที่ได้รับทุนจะได้ไปเรียน :
・ปรับพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น(และวิชาอื่น ๆ ที่จำเป็น1 ปี 
・เรียนปริญญาตรีอีก 4 ปี 
(ถ้าเป็นคณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และสัตวแพทยศาสตร์ เรียนอีก 6 ปี)

สาขาที่สามารถเลือกเรียน และรายละเอียดอื่น ๆ สามารถเข้าไปศึกษาได้ ที่นี่ ค่ะ


2. ทุนระดับทุนนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยี (ปีนี้ได้ 4 คน)
และ
3. ทุนนักศึกษาฝึกอบรมวิชาชีพ (ปีนี้ได้ 7 คน) ทุนนี้เป็นทุนที่เราได้เองล่ะ :-D
สองทุนนี้เป็นทุนสำหรับนักเรียนม.ปลายที่ต้องศึกษาต่อในระดับวิทยาลัยค่ะ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยนะ !
อาจไม่คุ้นชื่อเท่าไหร่ แต่ก็คือเรียนสายอาชีพนี่เองค่ะ โดยจะมีวิชาให้เลือกหลากหลายพอควร
อย่างวิทยาลัยเทคโนฯก็จะเป็นสายวิศวะฯต่าง ๆ เครื่องกล ไฟฟ้า นู่นนี่นั่น 
ส่วนวิชาชีพก็จะเป็นแนว ๆ ทำกับข้าว ดนตรี วาดการ์ตูน ธุรกิจ มากมายก่ายกองค่ะ
จะเห็นได้ว่าหลากหลายสุด ๆ ถ้าชอบอะไรเฉพาะด้าน ลองเก็บไว้เป็นทางเลือกก็ดีนะเออ
ปีที่ผ่าน ๆ มามีคนสอบเกือบสาขาละ 100 คน ทั้งของเทคโนฯและวิชาชีพ 
อาจจะดูน้อยกว่าทุนป.ตรี แต่ก็อย่าประมาทไปล่ะ

เกรดขั้นต่ำที่กำหนด 5 เทอม : 3.00

วิชาที่ใช้สอบข้อเขียน :
วิทยาลัยเทคโนฯ - อังกฤษ เลข ฟิสิกส์/ชีวะ
วิชาชีพ - อังกฤษ เลข
(มีเลือกสอบภาษาญี่ปุ่นเหมือนกันเน้อ)

นักเรียนที่ได้รับทุนจะได้ไปเรียน :
・ ปรับพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น 1 ปี
・ วิทยาลัยเทคโนฯ 3 ปี / วิชาชีพ 2 ปี
 ☆ นักเรียนทุนที่มีผลการเรียนดีมากอาจได้รับการต่อทุนอีกสองปี โดยเข้าศึกษาต่อในระดับป.ตรี ปี 3-4 ค่ะ

สาขาที่สามารถเลือกเรียน : วิทยาลัยเทคโนโลยี / วิชาชีพ
รายละเอียดอื่น ๆ สามารถเข้าไปศึกษาได้ ที่ นี่

_______________________________________________________


ก็จบไปแล้วล่ะค่ะสำหรับการแนะนำเรื่องทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
อันนี้แค่เกริ่นนะ ! คราวหน้าเราจะมาเล่าถึงเรื่องการสมัครสอบกับการสอบกันนะ
มีแผนจะเขียนเรื่องทุนอื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นที่สามารถสมัครได้ด้วยล่ะ
ยังไงก็ติดตามกันได้เล้ยยย

สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ ヾ(。・ω・。)



Thursday, February 27, 2014 0 comments

แต่นแต๊น

 
;